ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ

ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ตรา อินทรีย์ดาวแดง

ความหมายของ ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ

ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ มีรากศัพท์มาจาก ปุ๋ยอินทรีย์ + ชีวภาพ 
ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่ได้จากซากพืชซากสัตว์หรือมูลสัตว์ที่สามารถย่อยสลายต่อไปอีกได้
ข้อดี ของปุ๋ยอินทรีย์ คือหาได้จากธรรมชาติไม่ทำให้ดินเสีย
ชีวภาพ คือ เป็นสิ่งมีชีวิต ในที่นี้หมายถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ซึ่งก็คือจุลินทรีย์ชีวภาพนั่นเอง ซึ่งให้ประโยชน์อย่างมากในการย่อยสลายสารอินทรีย์วัตถุทุกชนิด จุลินทรีย์จะเข้าไปย่อยสลายโมเลกุลของปุ๋ยอินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่ให้เล็กลง จนพืชสามารถดูดซึมไปเป็นอาหารได้ในที่สุด
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ จึงหมายถึง สารธรรมชาติที่ได้จากกระบวนการหมักบ่ม วัตถุดิบจากธรรมชาติต่าง ๆ ทั้งพืช และสัตว์จนสลายตัวสมบูรณ์เป็นฮิวมัส วิตามิน ฮอร์โมน และสารธรรมชาติ เพื่อให้เกิดธรรมชาติสมดุลขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้พืชผัก ต้นไม้ทุกชนิดเจริญเติบโตได้ดี

ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ
1.เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์
2.ปรับโครงสร้างของดินที่แน่นแข็งให้เป็นดินที่ร่วนซุย มีอากาศถ่ายเทในดิน ง่ายต่อการไถพรวนทำให้ดินอุ้มน้ำได้ดี
3.เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ยเคมีและลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง
4.กระตุ้นให้ธาตุอาหารในดินละลายน้ำง่ายเป็นอาหารแก่พืช
5.ไม่เป็นอันตรายต่อดิน เมื่อใช้ปริมาณมากๆติดต่อกันนานๆ
6.ราคาถูก ใช้เศษพืชที่เหลือจากการเกษตรให้เกิดประโยชน์

ปัญหาการใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน
ปุ๋ยเคมี หมายถึง ปุ๋ยที่ได้จากสารอนินทรีย์หรือออินทรีย์สังเคราะห์ รวมถึงปุ๋ยเชิงเดี่ยว ปุ๋ยเชิงผสม
และปุ๋ยเชิงประกอบ ซึ่งประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก 3 ตัวได้แก่ N-P-K ในแต่ละตัวมีหน้าที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
ตัวแรกคือ N (ไนโตรเจน) เป็นหลักในการสร้างความเจริญของพืชคือลำต้น ยอด และใบ
ตัวที่สองคือ P (ฟอสฟอรัส)  ช่วยสร้างราก ดอก และรวง
ตัวที่สามคือ K (โปแตสเซียม) เป็นหลักในการสร้างแป้ง น้ำตาลและภูมิต้านทานโรค
ปัญหาจากการใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมีดังนี้
1.ปุ๋ยเคมีมีฤทธิ์เป็นกรดยิ่งใช้ ดินก็ยิ่งเป็นกรดหรือดินเปรี้ยว  เกิดปัญหาดินไม่กินปุ๋ยเพราะปุ๋ยที่ใส่ให้พืชกินถูกดินแย่งไปเก็บเสียส่วนมาก เกิดปัญหาดินแข็งทำให้รากพืชเดินไม่สะดวก
2.เป็นปุ๋ยที่ละลายเร็ว สูญเสียได้ง่าย เมื่อฝนตกหรือมีแสงแดดจัด และเป็นปุ๋ยที่เร่งให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และหมดฤทธิ์อย่างรวดเร็วเช่นกัน
3.ยิ่งใช้แมลงยิ่งมาก ทั้งบนดินและใต้ดิน เพราะแมลงทุกๆชนิดชอบสารไนเตรท ทำให้ต้องใช้สารเคมีชนิดสารพิษฆ่าแมลง ยาฆ่าแมลงจึงตกค้างเป็นพิษต่อผู้บริโภคด้วย
4.ยิ่งใช้ ธาตุอาหารและจุลินทรีย์จะหมดไปเรื่อยๆ พืชผักผลไม้ขาดรสชาติ น้ำหนักน้อย แป้งน้อย เมล็ดรีบ
5.ราคาสูง ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ต้องเสียดุลการค้า


ประโยชน์ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ตราอินทรีย์ดาวแดง
1.มีแร่ธาตุภูเขาไฟชนิดโดโลไมท์ ที่มีประโยชน์ คือ
1.1 มีธาตุแคลเชียม (Ca) เป็นธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อความเจริญเติบโตของพืช มีฤทธิ์เป็นด่างสามารถทำให้ดินเป็นกรดหรือเปรี้ยวกลายเป็นดินดี ดินร่วนซุยอุ้มน้ำและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ดินดี ไม่แย่งเก็บปุ๋ย กับคายปุ๋ยที่เก็บเอาไว้ออกมาให้พืชกินมากขึ้น พืชจึงสามารถกินฟอสฟอรัสและโปแตสเซียม ได้มากด้วยทำให้พืชออกดอกดี ออกรวงดี ผลไม้มีแป้งและน้ำตาลมาก หวานกรอบ ต้นข้าวจะออกรวงดี เมล็ดจะมาก ไม่มีเมล็ดลีบ มันสำปะหลังจะออกหัวเร็วหัวใหญ่มีแป้งมาก อ้อยจะต้นใหญ่และมีน้ำตาลมาก
1.2 มีแม็กนีเซียม  (Mg) เป็นธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อความเจริญเติบโตของพืช เป็นสารเพิ่มความเขียวหรือ
คลอโรฟิลด์ของใบไม้มากขึ้นทำให้พืชสามารถสังเคราะห์แสงปรุงอาหารได้ดี พืชจึงมีความสมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคดี ออกดอกออกผลได้อย่างเต็มที่
1.3 มีซิลิก้า สามารถเร่งให้พืชเจริญงอกงามเร็ว มีเชลล์ที่แข็งแรง เพราะช่วยเพิ่ม N ให้กับพืชลดการละเหยของน้ำ
ใช้เพียง 7-10 วันจะทำให้ต้นพืชมีรากยาว ต้นแข็ง ใบตั้ง
(ลำต้นแข็งจนดูคล้ายหนาม) เขียวทน เขียวนาน ต้านทานโรคและแมลงได้ดี ดอกขาวจะไม่มีเพลี้ยรบกวน ดอกขาวไม่เป็นดอกข่า อ้อยที่มีใบขาวจะหายไป
2.มีจุลินทรีย์ สายพันธ์ที่เรียกว่า พ.ด 1-7 ซึ่งเป็น  จุลินทรีย์ที่กรมพัฒนาที่ดินได้วิเคราะห์วิจัยแล้วว่าเหมาะกับประเทศไทยมากที่สุด แต่ละสายพันธ์มีสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น เพิ่มธาตุอาหารเสริมที่พืชขาด ป้องกันและจำกัดโรคพืชและแมลง สามารถปรับดินเปรี้ยว-เค็มให้เป็นดินดีเหมาะแก่การเจริญเติมโตของพืช สามารถย่อยสลายวัชพืชให้เป็นปุ๋ย ทำให้เกษตรกรได้พืชผลที่มีน้ำหนักดี หวานกรอบ ข้าวมีรวงยาว เมล็ดมากน้ำหนักดี ได้อ้อยที่มีลำต้นใหญ่มีน้ำหวานมาก ได้หัวมันใหญ่มีแป้งมาก ได้พืชผลที่งามมีน้ำหนักโดยไม่ต้องใช้ยากำจัดศัตรูพืชที่เป็นสารเคมีมีพิษ ไม่ต้องใช้ยาฆ่าหญ้า ไม่มีสารพิษตกค้างในผลผลิตทางการเกษตร เกษตรกรมีสุขภาพดี สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติจะกลับคืนมา ดินกลับสภาพเดิม สัตว์ต่างๆ จะกลับมาอาศัย กุ้ง หอย ปู ปลา จะมีอยู่ในน้ำเป็นอาหารของมนุษย์ต่อไป ระบบนิเวศจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
3. มีส่วนผสมของไคโตซาน ใช้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ เนื่องจากโดยธรรมชาติอนุพันธ์ ไคติน และ ไคโตซาน จะมีไนโตรเจนประมาณ 7-10 % จะถูกปลดปล่อยออกจากโมเลกุลอย่างช้าๆด้วยเอนไซม์ที่สิ่งมีชีวิต ผลิตขึ้นรวมทั้งอนุพันธ์ ไคติน และ ไคโตซาน นั้นยังเป็นตัวตรึงไนโตรเจนไม่ว่าจากอากาศหรือจากดินช่วยกระตุ้นการเจริญเติมโต เสริมสร้างความแข็งแรง และภูมิต้านทานให้แก่พืช ปรับสภาพดินที่มีส่วนประกอบของดินเหนียวมาก โดยจะเพิ่มความเป็นพรุนในดิน การดูดซับ และการอุ้มน้ำของดิน

ข้อแนะนำในการใช้ และอัตราการใช้
1.นาข้าว 
- ครั้งที่1 ทำเทือกหรือปักดำ 25-50 กก./ไร่
  ตอนทำเทือกครั้งสุดท้ายเพื่อให้ต้นข้าวตั้งตัวได้เร็ว
- ครั้งที่2 หลังหวานหรือปักดำ 20-30 วัน 25 กก./ไร่
   เพื่อช่วยในการแตกราก แตกกอ ลำต้นแข็งแรง
- ครั้งที่3 หลังหวานหรือปักดำ 50-60 วัน 25 กก./ไร่
  เพื่อให้ข้าวตั้งท้อง ออกรวงสม่ำเสมอ เมล็ดข้าวเต็ม ไม่ลีบ
2.พืชผักสวนครัว
- ตอนรองพืช 25-50 กก./ไร่   หว่านให้ทั่วแปลง หรือระหว่างร่องแล้วไถกลบก่อนเพาะปลูก
3.พืชไร่ เช่น อ้อย มัน ถั่ว ข้าวโพด สับประรด ฝ้าย ปอ กาแฟ แดงโม พริก ฯ
- ครั้งที่1 ตอนรองพื้น 30 กก./ไร่
   หว่านให้ทั่วแปลง หรือระหว่างร่องแล้วไถกลบก่อนเพาะปลูก
- ครั้งที่2 ตอนบำรุง 30 กก./ไร่
  เพื่อช่วยในการบำรุงให้ได้ผลผลิตที่มากทั้งคุณภาพและปริมาณ
4.ไม้ดอก ไม้ประดับ
- ตอนเริ่มปลูกและบำรุง ครั้งละ 25-50 กก./ไร่ หวานรอบทรงพุ่ม หรือระหว่างร่อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น